วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ดาวอังคาร

ดาวอังคาร (Mars)



ภาพดาวอังคาร

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก ดาวอังคารมีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแกนกลางที่เป็นของแข็ง มีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินเหลวหนืด หนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลก
เราสังเกตเห็นดาวอังคารเป็นสีแดง เพราะมีพื้นผิวที่ประกอบไปด้วยออกไซด์ของเหล็กหรือสนิมเหล็กนั่นเอง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหุบเหวต่างๆ มากมาย มีหุบเหวขนาดใหญ่ชื่อ หุบเหวมาริเนอริส มีความยาวถึง 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร และลึก 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ดาวอังคารยังมีภูเขาไฟที่สูงที่สุดในระบบสุริยะชื่อ ภูเขาไฟโอลิมปัส ที่มีความสูงถึง 25 กิโลเมตร และมีฐานที่แผ่ออกไปเป็นรัศมี 300 กิโลเมตร
ดาวอังคารมีบรรยากาศที่เบาบางมากประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ ก๊าซเหล่านี้เกิดจากการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง(คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวดาวอังคาร โดยเฉพาะที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ของดาวมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้แต่งนิยายวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเริ่มมีการสังเกตดาวอังคารผ่านกล้องโทรทรรศน์และพบรูปร่างพื้นผิวที่คล้ายกับคลองส่งน้ำของมนุษย์ดาวอังคาร(ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงบนดาวอังคาร) แต่หลังจากที่องค์การนาซาได้ส่งยานไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราทราบว่าลักษณะดังเกล่าวเป็นเพียงร่องรอยที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพื้นผิวดาวอังคารโดยยานไวกิงออร์บิเตอร์ 1 ในปีพ.ศ. 2519 และจากยานมาร์สโกลบอลเซอร์เวเยอร์ พบร่องน้ำเก่าหรือร่องรอยของท้องแม่น้ำที่เหือดแห้งไปหมดแล้ว นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าเคยมีสิ่งมีชิวิตอยู่บนดาวอังคารมาก่อน ก็น่าจะพบซากหรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นใต้ท้องน้ำหรือภายใต้น้ำแข็งที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคาร การพิสูจน์หาความจริงดังกล่าวเป็นภารกิจของโครงการสำรวจดาวอังคาร มาร์สโรเวอร์และมาร์สเอ็กเพรส ที่ถูกส่งขึ้นไปเมื่อกลางปี พ.ศ. 2546 นี้
ดาวอังคารมีบริวารขนาดเล็ก 2 ดวง มีชื่อว่า โฟบัส และดีมอส ดวงจันทร์ทั้งสองดวงมีรูปร่างไม่สมมาตรและมีขนาดเล็กกว่า 25 กิโลเมตร นักดาราศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า อาจเป็นวัตถุในแถบดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคาร ดึงดูดให้โคจรรอบ

วงโคจรของ ดาวอังคาร
ลักษณะเฉพาะของวงโคจรจุดเริ่มยุค J2000ระยะจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด: 249,228,730 กม.
1.665 991 16 หน่วยดาราศาสตร์ระยะจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: 206,644,545 กม.
1.381 333 46 หน่วยดาราศาสตร์กึ่งแกนเอก: 227,936,637 กม.1.523 662 31 หน่วยดาราศาสตร์
เส้นรอบวงของวงโคจร: 1.429 เทระเมตร9.553 หน่วยดาราศาสตร์ความเยื้องศูนย์กลาง: 0.09341233
คาบดาราคติ: 686.9601 วัน(1.8808 ปีจูเลียน) คาบซินอดิก: 779.96 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ยในวงโคจร: 24.077 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุดในวงโคจร: 26.499 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุดในวงโคจร: 21.972 กม./วินาที
ความเอียง: 1.85061°(5.65°; กับศูนย์สูตรดวงอาทิตย์)
ลองจิจูดของจุดโหนดขึ้น: 49.57854°
ระยะมุมจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: 286.46230°
ข้อมูลดาวอังคาร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 6,794 กิโลเมตร
มวล (โลก = 1) 0.107 เท่าของโลก
ความหนาแน่นเฉลี่ย 3,930 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 687 วัน
คาบการหมุนรอบตัวเอง 24 ชั่วโมง 37 นาที
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย 230 ล้านกิโลเมตร
บรรยากาศของ ดาวอังคาร



ลักษณะเฉพาะของบรรยากาศ

ความดันบรรยากาศ
ที่พื้นผิว: 0.7-0.9 กิโลปาสกาล

องค์ประกอบ
คาร์บอนไดออกไซด์ 95.32%
ไนโตรเจน 2.7%
อาร์กอน 1.6%
ออกซิเจน 0.13%
คาร์บอนมอนอกไซด์ 0.07%
ไอน้ำ 0.03%
ไนตริกออกไซด์ 0.01%
ppm นีออน 2.5
ppb คริปตอน 300
ppb ซีนอน 80
ppb โอโซน 30
ppb มีเทน 10.5


บริวารดาวอังคาร
ดาวอังคารมีบริวาร 2 ดวง ชื่อ โฟบอส (Phobos) กับ ไดมอส (Deimos) พบเป็นครั้งแรกโดย
เอแสฟ ฮอล (Asaph Hall) ในปี พ.ศ.2420 เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็ก พื้นผิวมืดคล้ำ รูปร่างคล้าย มันฝรั่ง อยู่ใกล้ ดาวอังคารมาก สันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกดาวอังคารดูดจับไว้
โฟบอส มีขนาดประมาณ 20 X 28 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 กิโลเมตร โคจรรอบ ดาวอังคารรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นโฟบอสขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกถึงวันละ
3 รอบ โฟบอสอยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 9,300 กิโลเมตร
ไดมอส เป็นดวงจันทร์ดวงเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 กิโลเมตร อยู่ห่างจาก
ศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 23,400 กิโลเมตร โคจรรอบดาวอังคารรอบละ 30 ชั่วโมง
18 นาที สำหรับคนที่อยู่บน ดาวอังคารเห็นโฟบอสกับไดมอส เคลื่อนที่สวนทางกันในท้องฟ้า


Phobos (โฟบอส)
โฟบอสเป็นบริวารดวงใหญ่สุดของดาวอังคาร โคจรอยู่วงในสุด ห่างจากจุดศูนย์กลางของดาวอังคาร 9,378 กิโลเมตร หรือ เพียง 6,000 กิโลเมตรจากผิวดาวอังคาร นับเป็นบริวารที่มีวงโคจรใกล้ดาวแม่มากที่สุด ในระบบสุริยะ มีมวล 10.80 ล้านล้านตัน ขนาดโดยเฉลี่ย 22.20 กิโลเมตร (27 x 21.6 x 18.8 กิโลเมตร)
นิยายกรีกเล่าว่า โฟบอสเป็นลูกชายของ เอรี่ (เทพมาร์ส) กับ อโพลไดท์ (เทพวีนัส) และเป็นที่ยำเกรงของ ชาวกรีก
โฟบอสถูกค้นพบเมื่อปีค.ศ. 1877 หรือ ปีพ.ศ. 2420 โดยนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาชื่อ Asaph Hall แล้วต่อจากนั้นก็ถูกถ่ายภาพโดยยาน มาริเนอร์ 9ของสหรัฐ ในปีค.ศ.1971 และจากยานไวกิ้ง 1ของสหรัฐ กับยานโฟบอสของรัสเซีย ในปีค.ศ. 1977 และ ปี ค.ศ.1988 ตามลำดับ

วงโคจรของโฟบอสอยู่ใกล้ผิวดาวอังคารมาก ทำให้มันขึ้นจากทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเร็วมาก โดยปกติวันละ 2 ครั้ง หรือมีคาบการโคจร 1 รอบกินเวลา 7 ชั่วโมง 39 นาที และเนื่องจากโฟบอสอยู่ ใกล้ผิวดาวอังคารมาก ต่ำกว่าค่าสมดุลของวงโคจร ทำให้วงโคจรของโฟบอสจะลดต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากแรงดึงดูดของดาวอังคาร โดยเฉลี่ยศตวรรษละ 1.80 เมตร นั่นหมายความว่า อีก 50 ล้านปีข้างหน้า โฟบอสจะกระแทกผิวดาวอังคาร
ส่วนประกอบของโฟบอส ส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนและหินแข็ง เหมือนกับดาวเคราะห์น้อย Type C แต่โฟบอสมีความหนาแน่นกว่า ภาพถ่ายจากยาน Mars Global Surveyor แสดงให้เห็นว่า ผิวของโฟบอสปกคลุมด้วยชั้นบางๆของฝุ่น หนาประมาณ 1 เมตร และยานโฟบอส2 ของโซเวียตก็ตรวจพบ ชั้นบางๆของก๊าซ แต่ก็โชคร้ายขาดการติดต่อไปก่อนที่จะวัดส่วนประกอบมาได้
โฟบอสมีหลุมขนาดใหญ่ ชื่อว่า Stickney ได้ชื่อมาจากสาวใช้ของภรรยาของเฮลล์ ลักษณะคล้ายหลุมเฮอร์เชล ของมิมัส ดาวบริวารของดาวเสาร์ และการเกิดหลุม Stickney นี้เช่นกันที่การชนกันเกือบทำให้โฟบอส แหลกเป็นผงไปแล้ว




รัสเซียพร้อมสำรวจบริวารดาวอังคาร
เป็นเวลากว่าทศวรรษครึ่งมาแล้วที่รัสเซียห่างเหินไปจากวงการสำรวจอวกาศเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ แต่รัสเซียกำลังจะกลับมาสู่วงการอีกครั้งด้วยภารกิจใหม่ในการสำรวจบริวารของดาวอังคาร
ในที่ประชุมสภาการบินอวกาศนานาชาติที่โคลัมเบียเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตัวแทนจากรัสเซียได้แจ้งว่ารัสเซียกำลังจะเริ่มโครงการใหม่ส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดวงจันทร์โฟบอสของดาวอังคาร ยานสำรวจในภารกิจนี้มีชื่อว่า โฟบอส-กรุนต์ (Fobos-Grunt) (คำว่า Grunt ภาษารัสเซียแปลว่า เศษซาก) โครงการนี้มีการพิจารณามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนตุลาคมปี 2547 ที่ผ่านมานี้เอง
ยานโฟบอส-กรุนต์มีน้ำหนักราว 50 กิโลกรัม อุปกรณ์สำรวจบนยานอาจมีบางชิ้นที่เป็นของอเมริกัน และอาจมีดาวเทียมจิ๋วของญี่ปุ่นติดไปด้วย ยานสำรวจลำนี้ไม่เพียงแค่ลงจอดลงบนดวงจันทร์โฟบอสเท่านั้น แต่ยังมีการเก็บตัวอย่างก้อนดินประมาณ 200-300 กรัมใส่ยานและนำกลับมายังโลกอีกด้วย ยานจึงมีสองส่วนคือส่วนฐานลงจอดและยานกลับโลก
ตามแผนที่วางไว้ ยานจะออกเดินทางราวปี 2552 ใช้เวลาเดินทางจากโลกถึงดาวอังคารราว 350 วัน หลังจากนั้นจะสำรวจไปรอบ ๆ ดวงจันทร์โฟบอสเพื่อเลือกทำเลลงจอด เมื่อยานลงจอดแล้วจะเก็บตัวอย่างก้อนดินแล้วยานกลับโลกก็จะแยกตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อนำกลับมายังโลกทันที ยานกลับโลกจะรออยู่ในวงโคจรอยู่ราวปีเศษจนกระทั่งได้จังหวะที่โลกเข้ามาใกล้ดาวอังคารจึงเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้ามาสู่โลก
ส่วนฐานจะยังคงจอดอยู่บนโฟบอสทำหน้าที่เป็นสถานีเฝ้าสังเกตการณ์สภาพลมฟ้าอากาศของดาวอังคารรวมทั้งอวกาศรอบ ๆ ดาวอังคารต่อไป
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 สหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจในด้านการสำรวจอวกาศ หลายภารกิจในการเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์ของโซเวียตประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่สำหรับภารกิจเก็บตัวอย่างในครั้งนี้ต่างจากภารกิจอื่นที่รัสเซียเคยทำ ดวงจันทร์โฟบอสอยู่ไกลกว่าดวงจันทร์มาก ระยะเวลาของภารกิจจึงยาวนานกว่ามาก ในอดีต ยานสำรวจของรัสเซียมักมีปัญหากับภารกิจนาน ๆ อย่างนี้ อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังดาวเทียมของรัสเซียหลายดวงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความทนทานของดาวเทียมได้พัฒนาไปมากแล้ว
รัสเซียเคยส่งยานไปสำรวจโฟบอสสองลำในปี 2531 แต่ล้มเหลวทั้งสองลำ ลำหนึ่งสูญหายระหว่างทางเนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด อีกลำหนึ่งเสียการควบคุมไปในช่วงที่ยานเข้าใกล้โฟบอส ยานสำรวจดาวเคราะห์ลำล่าสุดของรัสเซียคือยาน มาร์ส 8 หรือ มาร์ส 96 ออกเดินทางในปี 2539 แต่ยานได้ตกลงสู่โลกหลังจากปล่อยขึ้นจากฐานไปไม่นาน
โครงสร้างดาวอังคาร
ดาวอังคารมีขนาดเล็กกว่าโลกราวครึ่งหนึ่ง มีความหนาแน่นน้อยกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่มีพื้นผิว เป็นดินหินแข็งอย่างโลก แสดงว่าแกนในคงมีเหล็กน้อยกว่า ห่อหุ้มด้วยชั้นหินและ มีผิวเปลือกบาง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาต มีหุบเหว ร่องทางยาวและที่ราบ เป็นหย่อม ๆ มีภูเขาไฟ หลายแห่งโดดเด่นมาก เช่น ภูเขาไฟโอลิมปัส สูงที่สุดในระบบสุริยะ ความสูง 24 กิโลเมตร ฐานรอบ ภูเขาไฟกว้าง 600 กิโลเมตรและสูงเป็น 3 เท่าของยอดเขา เอเวอร์เรสบนโลก

ส่วนทางซีกใต้มีหลุมอุกกาบาตใหญ่มาก ชื่อ เฮลลาส (Hellas) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2000 กิโลเมตร ลึก 6 กิโลเมตร ลักษณะเด่นมากบนพื้นผิวดาวอังคารคือ หุบเหวมาริเนอร์ (Mariner) ลึกราว 2-7 กิโลเมตร กว้างราว 4,000 กิโลเมตร เป็นหุบเหวเหยียดยาวผ่ากลางดวงบริเวณ แถบเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ราบลักษณะคล้ายเกิดจากน้ำท่วม บางแห่งมีลักษณะคล้ายซากของชายฝั่งและท้องน้ำ พบซากของร่องทางน้ำไหลมากมายบนดาวอังคาร ทำให้สันนิษฐานว่าดาวอังคารคงเคยมีน้ำมาก่อน ในอดีตกาล


ภูเขาไฟนิกซ์ โอลิมปิกา ใหญ่สุดในระบบสุริยะ



ดวงจันทร์โฟบอส

ดวงจันทร์ไดมอส
บรรยากาศ
บรรยากาศของดาวอังคารต่างจากบรรยากาศของโลก เพราะส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถึง 95 % มีไนโตรเจน อาร์กอน และออกซิเจน เล็กน้อย มีน้ำอยู่ราว 1 ใน 1000 ของบรรยากาศ
โลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดเมฆในบรรยากาศของดาวอังคาร
สภาวะอากาศบนดาวอังคารแปรเปลี่ยนไปตลอดปี ที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคารมีน้ำแข็งตลอดเวลา ส่วนในฤดูหนาว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จับตัวแข็งขยายพื้นที่กว้างมากขึ้นที่ขั้วทั้งสอง ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์แห่งพายุฝุ่น อุณหภูมิและกระแสลมที่แปรเปลี่ยนไปทำให้มักเกิดพายุฝุ่น คละคลุ้งทั่วดวงดาวอังคารตลอดปี


ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ
ยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น