กลุ่มดาว 12 ราศี
•กลุ่มดาวแกะ (Aries or Ram)
•กลุ่มดาววัว (Taurus)
•กลุ่มดาวคนคู่ (Gemini)
•กลุ่มดาวปู (Cancer)
•กลุ่มดาวสิงโต (Leo)
•กลุ่มดาวหญิงพรหมจารีย์ (Virgo)
•กลุ่มดาวคันชั่ง (Libra )
•กลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius )
•กลุ่มดาวคนถือธนู (Sagittarius)
•กลุ่มดาวมังกร (Capriconus)
•กลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ (Aquarius)
•กลุ่มดาวปลา (Pisces)
กลุ่มดาว 12 ราศี คือ กลุ่มดาวฤกษ์ 12 กลุ่ม ปรากฏอยู่ตามแนวเส้น Ecliptic กลางท้องฟ้า กลุ่มดาว 12 ราศี บางทีเรียกว่า กลุ่มดาว 12 นักษัตร เพราะ 11 กลุ่มเป็นสัตว์จริงหรือสัตว์สมมุติ อีก 1 กลุ่มเป็นสิ่งของคือตาชั่ง กลุ่ม 12 ราศี มีชื่อตามเดือนทั้ง 12 เริ่มนับจากราศีเมษแกะตัวผู้ไปตามลำดับ และ ราศีมีน กลุ่มดาวปลาเป็นราศีสุดท้าย
ราศีแกะ ราศีวัว และคนคู่
อีกทั้งปู สิงค์ นางงาม อร่ามสม
ตาชั่ง แมงป่อง ธนู คูน่าชม
มกราคม โถจารี มีปลาเอย
กลุ่มดาว 12 ราศี (ZODIAC)
การหมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้เกิดกลางวัน กลางคืน การโคจรของโลก รอบดวงอาทิตย์ ทำให้เวลาและฤดูกาลผ่านไป โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ กินเวลา 1 ปี ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ จากทิศตะวันตกไปทาง ทิศตะวันออกนั้น เมื่อเราสังเกตดูการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ เราจะเห็น ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปตามกลุ่มดาวกลุ่มต่าง ๆ กลางท้องฟ้า เส้นทางที่ ดวงอาทิตย์ปรากฏโคจรไปบนท้องฟ้าผ่านกลุ่มดาวต่าง ๆ ในรอบปีหนึ่งนั้น เรียกว่า เส้นอี่คลิพติค (Ecliptic) เส้นนี้พาดจากขอบฟ้าทิศตะวันออก ผ่านกลาง ฟ้าเหนือ ศีรษะไป ทางขอบฟ้าทิศตะวันตก บรรดาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และ ดวงนพเคราะห์ ต่างก็เคลื่อนที่ในแนวแถบเส้น Ecliptic นี้ทั้งสิ้น
กลุ่มดาว 12 ราศี คือกลุ่มดาวฤกษ์ 12 กลุ่มที่ปรากฏอยู่ตามแนวเส้น Ecliptic โดยแบ่งแถบเส้น Ecliptic ซึ่งเป็นแถบกว้าง 16 องศา (กว้างวัดจากเส้น Ecliptic ไปข้างละ 8 องศา ) รอบท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วน แต่ละส่วนกว้าง 30 องศา ทุกราศีมีดาวฤกษ์ประจำอยู่ 1 กลุ่ม จึงเรียกกลุ่มดาว 12 ราศี เวลาดูในท้องฟ้า จะเห็นกลุ่มดาว 12 ราศีเรียงตามลำดับ จาก ทิศตะวันตก ไปทิศตะวันออก กลุ่มดาว 12 ราศีนี้ เป็นจักรวงกลมของสัตว์ เพราะว่า 11 กลุ่ม เป็นกลุ่มดาวที่ แทนสัตว์จริง หรือสัตว์สมมุติ มีกลุ่มดาวที่ไม่ใช้สัตว์ คือกลุ่มดาวราศีตุลย์หรือ กลุ่มดาวคันชั่ง (Libra) อันหมายถึงตราชูแห่งความเที่ยงธรรม
เมื่อประมาณ 150 ปีก่อนคริสตศักราช นักดาราศาสตร์ชาติกรีกชื่อ ฮิปปาวัส (Hipparchus) ได้แบ่งกลุ่มดาวแถบเส้น Ecliptic ออกเป็น 12 กลุ่ม โดยตั้งแต่ จากจุด Vernal Equinox ซี่งเป็นจุดตัดจุดแรกของเส้น Ecliptic กับศูนย์สูตร ท้องฟ้า (Celestial Equator) เมื่อนับจากจุด Vernal Equinox ตามแถบแนวเส้น Ecliptic ไปทางทิศตะวันออก ช่องละ 30 องศา จะได้ 12 ช่องพอดี ช่องแรก คือ ราศีที่ 1 คือ ราศีเมษ กลุ่มดาวแกะ ซึ่งกลุ่มดาวกลุ่มนี้ได้ชื่อว่า “ผู้นำแห่งกลุ่มดาว 12 ราศี” กลุ่มดาวราศีที่ 12 คือ กลุ่มดาวปลา หรือ ราศีมีน
เนื่องจากแกนของโลกไม่ได้ชี้ตรงไปที่ดาวเหนือตลอดเวลา การหมุนของโลกมี อาการ ส่าย คล้าย ๆ กับลูกข่าง การส่ายของโลกเป็นผลเนื่องมาจากแรงดึงดูด ของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ที่มีต่อโลก ทำให้แกนของโลกส่ายไป ฉะนั้นจึง Vernal Equinox อันเป็นจุดตั้งต้นของกลุ่มดาว 12 ราศี คือ ในวันที่ 12 มีนาคม ดวงอาทิตย์เริ่มยกเข้าสู่ ราศีเมษนั้น ก็ไม่ตรงกับที่ Hipparchus ได้จัดแบ่งไว้ เพราะฮิปปาชัสไม่ได้คำนึงถึง ความเป็นจริงเรื่องการส่ายของโลก ฉะนั้นใน ปัจจุบันนี้ จึงปรากฏว่ากลุ่มดาว 12 ราศี ไม่ได้ตรงตามที่ได้ตั้งไว้เมื่อ 2,000 ปี ก่อน คือเมื่อ 2,000 ปีก่อน จุดตัดของเส้น Ecliptic กับ Equator ท้องฟ้า ซึ่งเรียกว่า Equinox เริ่มต้นที่ราศีเมษกลุ่มดาวแกะและราศีตุลย์ กลุ่มดาวคันชั่ง แต่ในปัจจุบันผลการส่วยของโลกเราพบว่าจุด Equinox นั้น ตั้งตันที่ กลุ่มดาวปลา ราศีมีนและกลุ่มดาวหญิงพรหมจารี ราศีกันย์ (ไม่ได้ตั้งต้นที่ กลุ่มดาวแกะ ราศีเมษและกลุ่มดาวคันชั่ง ราศีตุลย์ ) นั้นก็คือกลุ่มดาว 12 ราศี ปรากฏเคลื่อนที่ ล่วงหน้าไปกว่าความเป็นจริงถึง 30 องศา หมายความง่าย ๆ ว่า ในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งถือว่าเป็นวันเริ่มต้นฤดู ใบไม้ผลิ ดวงอาทิตย์เริ่มยกเข้าสู่ ราศีเมษนั้น ความจริงแล้วดวงอาทิตย์พึ่งจะเข้าสู่ราศีมีน คือกลุ่มดาวปลา ดวงอาทิตย์ยังไม่ได้ยกเข้าสู่ราศีเมษ จนกว่าจะถึงปลายเดือนเมษายน ความคลาดเคลื่อนของกลุ่มดาว 12 ราศี ไม่มีความสำคัญ และไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องใช้และเอามาอ้างอิงอะไรสำหรับนักดาราศาสตร์ แต่มีความจริงสิ่งหนึ่ง อยากจะเรียนท่านผู้อ่านทราบไว้ คือ โหราศาสตร์ ซึ่งได้ชื่อว่า วิทยาศาสตร์เทียม (Sham Science ผู้เขียนไม่กล้าแปลว่า วิทยาศาสตร์หลอก ๆ เพราะโหราศาสตร์ เป็นศิลป์และสถิติแต่ไม่มีกฎตายตัวแน่นอน) นักโหราศาสตร์เขาทำนาย เหตุการณ์ และวิถี ชีวิตโดย อาศัยรากฐานมาจากการเคลื่อนที่ของดวงดาว ที่บนท้องฟ้าแถบแนว Ecliptic ซึ่งปรากฏว่า ดวงดาว ทั้งหมายไม่ได้ปรากฏตามที่ นักโหราศาสตร์พูดหรือกะไว้อย่างแท้จริงเลย ผู้เขียนขอฝากข้อคิดสำหรับท่าน ผู้อ่านสักข้อหนึ่งว่า ดาวเคราะห์เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ซึ่งจะต้องโคจรไปตาม วิถีทาง ของมันด้วยระยะเวลาสม่ำเสมอ ฉะนั้นจึงไม่น่าที่ดาวเคราะห์จะมีอิทธิพล เหนือชีวิตมนุษย์ได้เลย
เนื่องจากคนไทยเราถือเอาเดือนเมษายนเป็นเดือนขึ้นปีใหม่ (วันที่ 13 เมษายน คือ วันสงกรานต์ นับเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ) วันขึ้นปีใหม่ของไทย ใกล้เคียง กับวันตั้งต้นปีใหม่ของนักดาราศาสตร์ คือวันที่ 21 มีนาคม ในวันที่ 21 มีนาคมนี้ นักโหราศาสตร์ถือว่า ดวงอาทิตย์เริ่มยกเข้าสู่ราศีเมษ คือ ดวงอาทิตย์ปรากฏ โคจรอยู่ใน กลุ่มดาวแกะ แต่ทางนักดาราศาสตร์ถือว่า วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันเริ่ม เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ พืชเริ่มผลิใบ แตกกิ่งก้านสาขา เมล็ดพืชที่หว่านไว้เริ่มงอก เป็นวันตั้งต้นชีวิตใหม่ประจำปี ในวันที่ 21 มีนาคม ดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนที่ ผ่านจุดตัดของเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า และ อี่คลิพติค จุดนี้เรียกว่า Vernal Equinox ทุกชาติทุกภาษา ตั้งต้นกลุ่มดาว 12 ราศีเหมือนกันหมด คือให้กลุ่ม ดาวแกะ (ราศีเมษ) เป็นราศีที่ 1 และกลุ่มดาวปลา ราศีมีน เป็นราศีสุดท้าย
ขอให้หลักในการสังเกตหากกลุ่มดาว 12 ราศี กลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ ครั้งแรกต้องหากลุ่มดาว 12 ราศีที่สังเกตเห็นได้ง่าย ๆ เป็นหลักตั้งต้นก่อน เมื่อเห็นกลุ่มดาว 12 ราศีกลุ่มใดแล้ว แบ่งท้องฟ้าขณะนั้นเป็น 6 ส่วน ส่วนละ 30 องศา ถ้านับไปทางทิศตะวันตก 1 ส่วน หรือ 30 องศา จะเป็นกลุ่ม 12 ราศี ที่ผ่านมาแล้ว ถ้านับไปทางทิศตะวันออก 1 ส่วน หรือ 30 องศา จะเป็นกลุ่มดาว 12 ราศี ทีกลุ่มจะถึงต่อไป จำง่าย ๆ ว่า กลุ่มดาว 12 ราศี มีชื่อตามชื่อเดือนทั้ง 12 การนับตั้งต้นนับจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก หมายความว่า ทางทิศตะวันตกของกลุ่มดาวราศีเมษ (แกะตัวผู้) เป็นกลุ่มดาวราศีมีน (ปลา) และทางทิศตะวันออกเป็นราศีพฤษภ (วัว)
ถ้าหากท่านดูดาวในเวลา 3 ทุ่มจะเห็นกลุ่มดาว 12 ราศีอยู่กลางท้องฟ้าตรงศีรษะ ในเดือนต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้ กลุ่มดาววัวในวันที่ 15 มกราคม กลุ่มดาวคนคู่ 20 กุมภาพันธ์ กลุ่มดาวปู ในวันที่ 15 มีนาคม กลุ่มดาวสิงโตในวันที่ 10 เมษายน กลุ่มดาวหญิงพรหมจรรย์ วันที่ 25 พฤษภาคม กลุ่มดาวคันชั่ง ในวันที่ 20 มิถุนายน กลุ่มดาวแมงป่อง ในวันที่ 20 กรกฎาคม กลุ่มดาวคนถือธนู ในวันที่ 20 สิงหาคม กลุ่มดาวแพะทะเล ในวันที่ 20 กันยายน กลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ ในวันที่ 10 ตุลาคม กลุ่มดาวปลาจะอยู่ตรงศีรษะเมื่อเวลา 3 ทุ่ม ในวันที่ 10 พฤศจิกายน
กลุ่มดาวแกะ (Aries or Ram)
กลุ่มดาวกลุ่มแรกใน 12 ราศี คือ กลุ่มดาวแกะตัวผู้ เรียก ราศีเมษ ดาวกลุ่มนี้สังเกตได้ง่าย มีดาวสว่างสุกปลั่งอยู่ตรงหัวแกะ 3 ดวง มีรูปคล้ายสามเหลี่ยมมุมป้าน
กลุ่มดาวราศีเมษหรือกลุ่มดาวแกะ จะเห็นอยู่ตรงศีรษะเมื่อเวลา 3 ทุ่ม ในวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี มีหลักการสังเกตง่าย ๆ สำหรับหาดาวกลุ่มนี้ คือ ดูจากกลุ่มดาวลูกไก่ เมื่อเห็นกลุ่มดาวลูกไก่แล้วมองไปทางทิศตะวันตก ใกล้ ๆ กลุ่มดาวลูกไก่จะเห็นกลุ่มดาวสามเหลี่ยมมุมป้าน ซึ่งเป็นหัวแกะได้ โดยง่าย และเมื่อมองไปทางทิศตะวันตกจะเห็นกลุ่มดาวม้า
ตามหลักโหราศาสตร์สากล ถือว่าดวงอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ ในวันที่ 21 มีนาคม แต่ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า เนื่องจากการโคจรส่ายไปมา ของโลก ดวงอาทิตย์จึงจะมาปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวนี้ ช้าไปราว 1 เดือน แต่ ในวันที่ 21 มีนาคม ก็เป็นวันที่น่าสนใจและน่าจดจำ อย่างยิ่งสำหรับ นักเรียนนักศึกษา และครูอาจารย์ คือ วันนี้เป็นวันตั้งต้น ฤดูใบไม้ผลิ ในวันนี้มีปรากฏการณ์ธรรมชาติ 2 ประการที่ควรสนใจเป็นพิเศษ คือ
•ประการแรก ในวันนี้ กลางวันและกลางคืน จะเท่ากันพอดี ดวงอาทิตย์จะขึ้นเวลา 6.00 น. และตก 18. 00 น.
•ประการที่สอง ในวันนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นที่จุดทิศตะวันออก ปรากฏโคจรไปกลางท้องฟ้า แล้วไปตกที่จุดทิศตะวันตกพอดี เมื่อวันเวลาผ่านไปกลางวันและกลางคืนไปเท่ากัน ดวงอาทิตย์ก็ จะขึ้นและตกเฉไปจากบริเวณเดิม คือ หลังจากวันที่ 21 มีนาคมไป กลางวันจะมากกว่ากลางคืน คือดวงอาทิตย์จะขึ้นก่อนเวลา 6.00 น. และตกภายหลัง 18.00 น. และถ้าสังเกตดูการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์ จะเห็นได้ว่า ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในวันที่ 21 มิถุนายน กลางวันจะนานว่ากลางคืนมากที่สุด แล้วจะค่อย ๆ ลดลง ดวงอาทิตย์ก็จะค่อย ๆ เคลื่อนปรากฏมาที่เดิม จนวันที่ 23 กันยายน ในวันนี้กลางวันจะเท่ากับกลางคืนพอดี และ ดวงอาทิตย์ ก็จะปรากฏขึ้นที่จุดขอบฟ้าทิศตะวันออกและตกที่จุดตะวันตก เมื่อเวลาผ่านไปกลางคืนจะมากกว่ากลางวัน ในวันที่ 21 ธันวาคม กลางคืนจะนานกว่ากลางวันมากที่สุด ในฤดูหนาว เราเห็นตะวันอ้อมข้าว เพระดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และตกทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อเวลาเทียงดวงอาทิตย์อยู่ต่ำจากกลางท้องฟ้ามาก
กลุ่มดาวราศีเมษหรือกลุ่มดาวแกะ ชาวอาหรับเรียกว่า “ เจ้าชายแห่งสิบสองราศี” หรือ “ เจ้าชายแห่งท้องฟ้า” หรือ “ ผู้นำของกลุ่มดาว 12 ราศี”
กลุ่มดาววัว (Taurus)
กลุ่มดาวในราศีที่ 2 หรือ กลุ่มดาวราศีพฤษภ คือ กลุ่มดาววัวตัวผู้ คนไทย โดยทั่วไปเห็นกลุ่มดาวนี้เป็น กลุ่มดาวธง สุนทรภู่เขียนชมดาวไว้ตอนหนึ่งวัน “ ดูโน่นแน่ะแม่อรุณรัศมี ตรงมือชี้ ดาวเต่า นั่นดาวไถ ดาวธงตรงหน้าอาชาไนย ดาวลูกไก่เคียงคู่เป็นหมู่กัน” ดาวธงของสุนทรภู่ คือ กลุ่มดาวหน้าวัวของกลุ่มดาว หน้าวัวนั่นเอง กลุ่มดาววัวเป็นกลุ่มดาวที่สะดุดตาเห็นครั้งเดียวจำได้ตลอดไป วิธีการสังเกตดูกลุ่มดาวนี้ง่าย ๆ คือ ดูจากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งเป็นกระจุกดาวที่ สวยงานที่สุดในท้องฟ้า กลุ่มดาวลูกไก่อยู่บนหนอกข้างขวาของวัว ฉะนั้นพอเห็น กลุ่มดาวลูกไก่ มองไปทางทิศตะวันออกจะเห็นดาวธงรูปสามเหลี่ยม คล้ายอักษร ภาษาอังกฤษ ตัว V มีดาวสีแดงสดใสชื่อ แอนดีบาแรน (Aldebarm) อยู่ตรง ยอดธงเป็นที่สังเกต
กลุ่มดาววัวจะเห็นอยู่กลางท้องฟ้าตรงศีรษะ เมื่อเวลา 3 ทุ่ม ในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี
กลุ่มดาวคนคู่ (Gemini)
กลุ่มดาวในราศีที่ 3 หรือกลุ่มดาวราศีมิถุน คือ กลุ่มดาวคนคู่ ดาวกลุ่มนี้มีดาวดวง สว่างสุกใส 2 ดวง เป็นสังเกต คือ ดาว Pollux และ Castor ดาว 2 ดวงนี้ เป็นจุด สะดุดตาหาได้ง่าย อยู่ใกล้ ๆ กลุ่มดาววัว เหนือกลุ่มดาวนายพรานใหญ่ขึ้นมาทาง ทิศตะวันออกของกลุ่มดาวสารถี กลุ่มดาวคนคู่จะเห็นอยู่กลางท้องฟ้าเมื่อเวลา 3 ทุ่มในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ของทุกปี
ดาวฤกษ์พอลลักซ์และแคสเตอร์นี้ คนโบราณโดยทั่วไปถือว่าเป็นดาวคู่แฝด คือชาวอาหรับเห็นเป็นนกยูง 2 ตัว ชาวอียิปต์เห็นเป็นต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น
กลุ่มดาวปู (Cancer)
ดาวฤกษ์พอลลักซ์และแคสเตอร์นี้ คนโบราณโดยทั่วไปถือว่าเป็นดาวคู่แฝด คือชาวอาหรับเห็นเป็นนกยูง 2 ตัว ชาวอียิปต์เห็นเป็นต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น ชาวฮินดูเห็นเป็นเทพเจ้า 2 องค์
กลุ่มดาวในราศีที่ 4 หรือ กลุ่มดาวราศีกรกฏ คือ กลุ่มดาวปู ดาวกลุ่มนี้เป็นกลุ่มดาว ที่ไม่สะดุดตาและหาได้ยากที่สุดในกลุ่มดาว 12 ราศี ดาวกลุ่มนี้อยู่ระหว่าง กลุ่มดาวคนคู่และกลุ่มดาวสิงโต วิธีหากลุ่มดาวกลุ่มนี้ ก็ต้องหากลุ่มดาวคนคู่และ กลุ่มดาวสิงโตให้ได้ ระหว่าง กลุ่มดาวทั้งสองมีดาวฤกษ์ สว่างจาง ๆ อยู่ 8 ดวง ที่ประกอบกันเป็นตัวปู
ปูเป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ไปโดยลำตัวไม่ตั้งตรงหรือ เห็นปรากฏถอยหน้าถอยหลัง ดวงอาทิตย์เมื่อเคลื่อนที่เข้ามาในกลุ่มดาวปู จะปรากฏเหมือนเคลื่อนที่ถอยหลัง
ชื่อ ทรอปิค ออฟ แคนเซอร์ (Tropic of Cancer ) ได้ชื่อมาจากการเคลื่อนที่ ปรากฏของดวงอาทิตย์ว่าคล้ายปู เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ปรากฏเข้าสู่กลุ่มดาวปู ราศีกรกฏ ( 22 มิถุนายน ) ระยะนี้เป็นฤดูร้อนทางซีกโลกเหนือ คนในประเทศ อบอุ่น จะเห็นดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะเมื่อเวลาเที่ยงวัน วันที่ 22 มิถุนายน เป็นวัน ที่มีเวลากลางวันมากกว่ากลางคืนมากที่สุด
กลุ่มดาวสิงโต (Leo)
กลุ่มดาวในราศีที่ 5 หรือ กลุ่มดาวราศีสิงห์ คือ กลุ่มดาว สิงห์โตดาวกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มดาวที่คนรู้จักดีที่สุดและสะดุดตาที่สุดอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มดาวราศีสิงห์ เป็นกลุ่มดาวที่เก่าแก่ที่สุดตามที่ได้มีการบันทึกมา ดาวกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับ ดวงอาทิตย์อย่างใกล้ชิด นับแต่แรกเกิดระบบสุริยะ ฉะนั้นทางโหราศาสตร์ เขาจึงกำหนดให้ดวงอาทิตย์เป็นเจ้าของราศีสิงห์นี้
กลุ่มดาวสิงห์โต เป็นกลุ่มดาวที่บอกฤดูกาลได้เมื่อจะเริ่มหน้าร้อนของฝรั่ง คือ ปลายเดือนมิถุนายน กลุ่มดาวสิงโตจะอย่างท้องฟ้าตั้งแต่เริ่มมืด กลุ่มดาวสิงโต จะอยู่กลางท้องฟ้าตรงศีรษะเมื่อเวลา 3 ทุ่ม (21.00 น.) ในวันที่ 10 พฤษภาคม ของทุกปี
ชาวอียิปต์โบราณบูชาดาวกลุ่มนี้เพราะอุทกภัยจากแม่น้ำไนล์ เกิดขึ้นเมื่อ ดวงอาทิตย์เข้ามาอยู่ในกลุ่มดาวราศีนี้ บางท่านจึงสันนิษฐานว่า ตัวสฟิงส์ (Sphing) ของอียิปต์ส่วนหัวคื่อหญิงพรหมจารีย์ (ราศีกันย์ )ส่วนตัวคือสิงห์โต (ราศีสิงห์)
ชาวเปอร์เชียในสมัยโบราณ เรียกดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในราศีสิงห์ว่า เป็นดาวทวารบาลดวงหนึ่งของสวรรค์หรือท้องฟ้า ดาวทวารบาลทั้ง 4 ได้แก่ Aldebaran (กลุ่มดาววัวสว่างเป็นที่ 14 ในท้องฟ้า ) Antares (กลุ่มดาวแมงป่องสว่างเป็นอันดับที่ 17 ในท้องฟ้า ) Fomalhaut (กลุ่มดาวปลาภาคใต้สว่างเป็นอันดับที่ 18 ในท้องฟ้า ) และ Regulus (กลุ่มดาวสิงห์โตสว่างเป็นที่ 20 ในท้องฟ้า) ดาวฤกษ์ทั้ง 4 ดวง นี้มีความสว่างใกล้เคียงกันมาก และปรากฏอยู่ 4 ทิศ พอดี
กลุ่มดาวหญิงพรหมจารีย์ (Virgo)
กลุ่มดาวในราศีที่ 6 หรือกลุ่มดาวราศีกันย์ คือ กลุ่มดาวหญิงพรหมจารีย์ กลุ่มดาวนี้อยู่ระหว่างกลุ่มดาวสิงห์โตกับกลุ่มดาวคันชั่ง มีดาวฤกษ์ที่สว่าง สุกใสอันดับที่ 16 ในท้องฟ้า ชื่อ สไปกา (Spica) ซึ่งแปลว่ารวงข้าว จากแผนที่ ดาวเก่าแก่ เขาเขียนรูปกล่มดาวนี้เป็นผู้หญิงสาวถือฟ่อนข้าวสาลีอยู่ในมือ
ดาวกลุ่มนี้มีดาวสำคัญ เกี่ยวกับวิชา ดาราศาสตร์อยู่อย่างหนึ่งคือ จุดตัดของ เส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า และเส้นอีคลิพดิคจุดที่ 2 ซึ่งเรียกว่า Autumnal Equinox (บางท่านเรียกวันสารทวิษุวัต แปลว่า วันที่ดวงอาทิตย์ ยกเข้าสู่ราศีตุลย์ ) นั้นอยู่ในกลุ่มดาวกลุ่มนี้ วันที่ 23 กันยายนเป็นวันที่ประเทศทางซีกโลก ฝ่ายเหนือเริ่มวันฤดูใบไม้ร่วง วันนั้นกลางวันและกลางคืนเท่ากัน
--------------------------------------------------------------------------------
กลุ่มดาวคันชั่ง (Libra)
กลุ่มดาวในราศีที่ 7 หรือ กลุ่มดาวราศีตุลย์ (ดุลย์) คือ กลุ่มดาวคันชั่ง กลุ่มดาวนี้สังเกตได้ง่ายมีรูปคล้าย ๆ สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน อยู่ทาง ทิศตะวันตกของกลุ่มดาวแมงป่อง ในสมัย 2,000 ปีก่อน นักดาราศาสตร์ถือว่า ดวงอาทิตย์ปรากฏโคจรเข้ามาอยู่ในกลุ่มดาวราศีตุลย์ ในวันที่ 23 กันยายน ซึ่งในวันนี้กลางวันกับกลางคืนเท่ากันพอดี และดวงอาทิตย์ขึ้นที่จุดทิศตะวันออก ตกที่จุดทิศตะวันตก โคจรผ่านกลางท้องฟ้าพอดี กลุ่มดาวนี้จึงแทนความ เสมอภาคแห่งท้องฟ้า ในปัจจุบันนี้ ดวงอาทิตย์จะปรากฏโคจร เข้ามาใน กลุ่มดาวราศีตุลย์ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้เนื่องจากการส่ายของโลก ดังได้ อธิบายไว้แล้ว แต่การเกิดกลางวันกลางคืนเท่ากันก็ยังคงเป็นวันที่ 23 กันยายน ตามเดิม
ชาวฮีบรูสมัยโบราณ และพวกอริยกะในมัธยมประเทศ (ตอนกลางของประเทศ อินเดีย) เรียกกลุ่มดาวราศีตุลย์แทนความเสอมภาคแห่งท้องฟ้าหรือสรรค์
ชาวกรีก รวมกลุ่มดาวคันชั่งกับกลุ่มดาวแมงป่องเข้าด้วยกัน คือ เขาเห็นกลุ่ม ดาวคันชั่งซึ่งมี 4 ดวงนี้เป็นรอยเท่าของแมงป่อง ในเวลาต่อมาชาวกรีกได้เปลี่ยน ความเชื่อถือใหม่ โดยเห็นกลุ่มดาวนี้แทน Mochus ผู้ประดิษฐ์เครื่องชั่งตวงวัด
ชื่อ “ ตุลย์” (Libra ) ของกลุ่มดาวนี้ ใช้ตามอย่างชาวโรมัน ในสมัยยูเลียสซีซาร์ คือชาวโรมันถือว่ากลุ่มดาวราศีตุลย์ เป็นกลุ่มดาวที่แทนคันชั่งของเทพธิดา Astrea (กลุ่มดาวหญิงพรหมจารีย์) ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความยุติธรรมและ เป็นผู้กำหนดชะตาของมนุษย์
กลุ่มดาวคันชั่ง หรือ กลุ่มดาวราศีตุลย์ จะเห็นอยู่ตรงศีรษะเวลา 3 ทุ่ม ในวันที่ 20 มิถุนายน จะเห็นอยู่จนถึงต้นเดือนตุลาคน คือในตอนต้นเดือนตุลาคม พอมืดจะ เห็นกลุ่มดาวนี้เกือบตก ในเดือนมกราคม จะเริ่มเห็นทางขอบฟ้าทิศตะวันออก ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
กลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius )
กลุ่มดาวในราศีที่ 8 หรือ กลุ่มดาวราศีพิจิก คือ กลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาวแมงป่องเป็นกลุ่มกาวใน 12 ราศี กลุ่มเดียวที่มีรูปร่างเหมาะสมเหมือน ชื่อที่สุด มีส่วนหัว ส่วนตัว ส่วนหาง และจงอยของหางเหมือนแมงป่องจริง ๆ
กลุ่มดาวแมงป่องเป็นกลุ่มดาวที่สวยงามที่สุด ในบรรดากลุ่มดาว 12 ราศี ดาวฤกษ์ Antares ซึ่งเป็นหัวใจของแมงป่องมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 400 ล้านไมล์
กลุ่มดาวแมงป่อง จะเห็นอยู่ตรงศีรษะเมื่อเวลา 3 ทุ่ม ในวันที่ 20 กรกฎาคม ในต้นเดือนพฤศจิกายน พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป จะเห็นกลุ่มดาวแมงป่อง ทางขอบฟ้าทิศตะวันตกใกล้จะตกจากขอบฟ้าไป ในตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะเห็นอยู่เหนือขอบฟ้าทิศตะวันออก เมื่อเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น นักเรียนที่ตื่นท่องหนังสือเตรียมสอบไล่ ถ้าดูจะสังเกตเห็นทุกคน
กลุ่มดาวแมงป่อง เป็นกลุ่มดาวที่มนุษย์รู้จักมาแต่ดึกดำบรรพ์ การใช้ชื่อว่ากลุ่มดาว สคอร์ – ปี – อุส (Scorpius) เพราะในสมัยโบราณ เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ ปรากฏมาอยู่ในกลุ่มดาวนี้ ปรากฏว่าในประเทศอิยิปต์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ เกิดขึ้นเล
กลุ่มดาวคนถือธนู (Sagittarius)
กลุ่มดาวในราศีที่ 9 หรือ กลุ่มดาวราศีธนู คือกลุ่มดาวคนถือธนู กลุ่มดาวกลุ่มนี้อยู่ในแนวทางช้างเผือก กลุ่มดาวคนถือธนูได้ชื่อว่า กลุ่มดาวผู้ฆ่า กลุ่มดาววัวตัวผู้เพราะเมื่อกลุ่มดาวนี้ขึ้น กลุ่มดาววัวจะตก หรือเมื่อ กลุ่มดาวนี้ตก กลุ่มดาววัวจะขึ้น กลุ่มดาวคนถือธนูนี้มีรูปร่างคล้ายกาน้ำ ขอให้สังเกตดูรูป ซึ่งได้โยงเส้นเชื่อมไว้ ดาวกลุ่มนี้อยู่ทางทิศตะวันออกของกลุ่มดาวแมงป่อง
กลุ่มดาวมังกร (Capriconus)
กลุ่มดาวในราศีที่ 10 คือกลุ่มดาวราศีมังกร กลุ่มดาวมังกรอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มดาวราศีปู กลุ่มดาวนี้ส่วนใหญ่อยู่เลยไปทาง ทิศใต้ของเส้น Ecliptic อยู่ระหว่างกลุ่มดาวคนถือหม้อนี้และกลุ่มดาวราศีธนู ดาวกลุ่มนี้ไม่มีดาวที่สว่างสุกใส พอที่จะสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ แต่ถ้ารวมกลุ่มดาวนี้ ทั้งกลุ่มเข้าด้วยกัน จะเห็นเป็นรูปสามเหลี่ยมฐานโค้งดาวกลุ่มนี้จะเห็นอยู่บนเส้น Meridian (เส้นที่ลากจากทิศเหนือผ่านกลางฟ้าไปยังทิศใต้) เมื่อเวลา 3 ทุ่ม ในวันที่ 20 กันยายน
กลุ่มดาวนี้นักดาราศาสตร์เขาจินตนาการ เห็นเป็นมังกรหรือแพะทะเล คือ มีส่วนหัวเป็นแพะ ส่วนหางเป็นปลา กลุ่มดาวนี้มีความสำคัญต่อนักดาราศาสตร์ และนักภูมิศาสตร์มากเหมือนกัน เพราะกลุ่มดาวราศีมังกร (Capriconus) เป็นกลุ่มดาวที่เราเอาชื่อมาเรียกแถบเส้นรุ้งที่ 23 องศาใต้ได้ชื่อเช่นนี้ เพราะฤดูร้อนของทางซีกโลกฝ่ายใต้ หรือ ฤดูหนาวของประเทศทางซีกโลก ฝ่ายเหนือ เกิดขึ้นเมื่องดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ปรากฏเข้ามาในกลุ่มดาวนี้
กลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ (Aquarius)
กลุ่มดาวราศีที่ 11 หรือกลุ่มดาวราศีกุมภ์ คือ กลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวใหญ่แต่ไม่สะดุดตา อยู่ทางทิศใต้ของกลุ่มดาวม้า ในระหว่างปี พ.ศ. 2507 และ พ.ศ. 2508 การจะหากลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำหาได้ง่ายมากเพราะใน ระหว่าง 2 ปีนี้ ดาวเสาร์ปรากฏโคจรมาอยู่ในกลุ่มดาวนี้กลุ่มดาวนี้ เป็นกลุ่มดาวที่ มีประวัติเก่าแก่กลุ่มหนึ่ง คนโบราณเขาเห็นเป็นรูปคนกำลังเทน้ำออกจากหม้อ ตามนิยายดาวของกรีกกล่าวว่า เทพเจ้า Zeus กำลังเทน้ำ ซึ่งจะตกเป็นฝนมายัง โลก ฉะนั้นกลุ่มดาวกลุ่มนี้จึงเป็นเครื่องหมายแห่งฤดูฝน ส่วนชาวอียิปต์โบราณ กล่าวว่า อุทกภัยแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ เกิดจากคนเทหม้อน้ำในกลุ่มดาวนี้ เทน้ำลงไป บนแม่น้ำไนล์
กลุ่มดาวปลา (Pisces)
กลุ่มดาวใน 12 ราศี กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มดาวปลา เป็นกลุ่มที่ไม่สะดุดตา หาได้ยาก แต่นักดาราศาสตร์อ้างถึงอยู่บ่อย ๆ เพราะในวันที่ 21 มีนาคม ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ปรากฏเข้ามาอยู่ในราศีนี้ ทางโหราศาสตร์สากล เขาถือว่าในวันที่ 21 มีนาคม ดวงอาทิตย์เริ่มยกเข้าสู่ราศีเมษ แต่ตามความจริง แล้วไม่ใช่ ในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่เส้น Ecliptic ตัดกับเส้นศูนย์สูตร ท้องฟ้านั้น ดวงอาทิตย์เริ่มโคจรปรากฏเข้ามาอยู่ในบริเวณกลุ่มดาวซึ่งเป็น หัวปลาคู่นี้ แล้วค่อย ๆ ปรากฏเคลื่อนไปทางทิศตะวันออก ในวันที่ 21 มีนาคม เป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็นวันที่กลางวันและกลางคืนเท่ากัน จึงเป็นวันที่ น่าสนใจและควรจดจำกลุ่มดาวนี้ แทนปลา 2 ตัว ผูกติดด้วยริบบิ้นที่หาง ชาวบาบิโล ชาวซีเรีย ชาวเปอร์เซีย ชาวตุรกี และชาวกรีก เห็นรูปดาวกลุ่มนี้ตรงกันหมดคือเห็นเป็นปลา 2 ตัว ผูกหางไว้ด้วยแถบริบบิ้นยาว และสัญลักษณ์แหนดาวกลุ่มนี้ ต่างก็ใช้ปลา เหมือนกัน
นักโหราศาสตร์สากลถือว่ากลุ่มดาวปลา เป็นกลุ่มดาวแห่งความโชคร้าย ชาวอียิปต์สมัยโบราณถือว่าภาพปลาเป็นภาพที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง นักโหราศาสตร์สากลและคนไทยมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ คนไทยทั่วไปถือว่าปลาเป็นสัญลักษณ์แห่งการนำโชคเช่นตามร้านค้า รถเมล์ รถแท็กซี่ต่างก็มีรูปปลาตะเพียนแขวนไว้ เพื่อให้ทำมาค้าขึ้น รายได้ดี ส่วนอียิปต์และนักโหราศาสตร์สากลถือว่าปลาเป็นสัญญลักษณ์แห่งความอับโชค
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
>--------------------------------------------------------------------------------
ดวงหทัย
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ดาวอังคาร
ดาวอังคาร (Mars)
ภาพดาวอังคาร
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก ดาวอังคารมีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแกนกลางที่เป็นของแข็ง มีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินเหลวหนืด หนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลก
เราสังเกตเห็นดาวอังคารเป็นสีแดง เพราะมีพื้นผิวที่ประกอบไปด้วยออกไซด์ของเหล็กหรือสนิมเหล็กนั่นเอง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหุบเหวต่างๆ มากมาย มีหุบเหวขนาดใหญ่ชื่อ หุบเหวมาริเนอริส มีความยาวถึง 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร และลึก 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ดาวอังคารยังมีภูเขาไฟที่สูงที่สุดในระบบสุริยะชื่อ ภูเขาไฟโอลิมปัส ที่มีความสูงถึง 25 กิโลเมตร และมีฐานที่แผ่ออกไปเป็นรัศมี 300 กิโลเมตร
ดาวอังคารมีบรรยากาศที่เบาบางมากประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ ก๊าซเหล่านี้เกิดจากการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง(คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวดาวอังคาร โดยเฉพาะที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ของดาวมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้แต่งนิยายวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเริ่มมีการสังเกตดาวอังคารผ่านกล้องโทรทรรศน์และพบรูปร่างพื้นผิวที่คล้ายกับคลองส่งน้ำของมนุษย์ดาวอังคาร(ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงบนดาวอังคาร) แต่หลังจากที่องค์การนาซาได้ส่งยานไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราทราบว่าลักษณะดังเกล่าวเป็นเพียงร่องรอยที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพื้นผิวดาวอังคารโดยยานไวกิงออร์บิเตอร์ 1 ในปีพ.ศ. 2519 และจากยานมาร์สโกลบอลเซอร์เวเยอร์ พบร่องน้ำเก่าหรือร่องรอยของท้องแม่น้ำที่เหือดแห้งไปหมดแล้ว นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าเคยมีสิ่งมีชิวิตอยู่บนดาวอังคารมาก่อน ก็น่าจะพบซากหรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นใต้ท้องน้ำหรือภายใต้น้ำแข็งที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคาร การพิสูจน์หาความจริงดังกล่าวเป็นภารกิจของโครงการสำรวจดาวอังคาร มาร์สโรเวอร์และมาร์สเอ็กเพรส ที่ถูกส่งขึ้นไปเมื่อกลางปี พ.ศ. 2546 นี้
ดาวอังคารมีบริวารขนาดเล็ก 2 ดวง มีชื่อว่า โฟบัส และดีมอส ดวงจันทร์ทั้งสองดวงมีรูปร่างไม่สมมาตรและมีขนาดเล็กกว่า 25 กิโลเมตร นักดาราศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า อาจเป็นวัตถุในแถบดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคาร ดึงดูดให้โคจรรอบ
วงโคจรของ ดาวอังคาร
ลักษณะเฉพาะของวงโคจรจุดเริ่มยุค J2000ระยะจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด: 249,228,730 กม.
1.665 991 16 หน่วยดาราศาสตร์ระยะจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: 206,644,545 กม.
1.381 333 46 หน่วยดาราศาสตร์กึ่งแกนเอก: 227,936,637 กม.1.523 662 31 หน่วยดาราศาสตร์
เส้นรอบวงของวงโคจร: 1.429 เทระเมตร9.553 หน่วยดาราศาสตร์ความเยื้องศูนย์กลาง: 0.09341233
คาบดาราคติ: 686.9601 วัน(1.8808 ปีจูเลียน) คาบซินอดิก: 779.96 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ยในวงโคจร: 24.077 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุดในวงโคจร: 26.499 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุดในวงโคจร: 21.972 กม./วินาที
ความเอียง: 1.85061°(5.65°; กับศูนย์สูตรดวงอาทิตย์)
ลองจิจูดของจุดโหนดขึ้น: 49.57854°
ระยะมุมจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: 286.46230°
ข้อมูลดาวอังคาร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 6,794 กิโลเมตร
มวล (โลก = 1) 0.107 เท่าของโลก
ความหนาแน่นเฉลี่ย 3,930 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 687 วัน
คาบการหมุนรอบตัวเอง 24 ชั่วโมง 37 นาที
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย 230 ล้านกิโลเมตร
บรรยากาศของ ดาวอังคาร
ลักษณะเฉพาะของบรรยากาศ
ความดันบรรยากาศ
ที่พื้นผิว: 0.7-0.9 กิโลปาสกาล
องค์ประกอบ
คาร์บอนไดออกไซด์ 95.32%
ไนโตรเจน 2.7%
อาร์กอน 1.6%
ออกซิเจน 0.13%
คาร์บอนมอนอกไซด์ 0.07%
ไอน้ำ 0.03%
ไนตริกออกไซด์ 0.01%
ppm นีออน 2.5
ppb คริปตอน 300
ppb ซีนอน 80
ppb โอโซน 30
ppb มีเทน 10.5
บริวารดาวอังคาร
ดาวอังคารมีบริวาร 2 ดวง ชื่อ โฟบอส (Phobos) กับ ไดมอส (Deimos) พบเป็นครั้งแรกโดย
เอแสฟ ฮอล (Asaph Hall) ในปี พ.ศ.2420 เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็ก พื้นผิวมืดคล้ำ รูปร่างคล้าย มันฝรั่ง อยู่ใกล้ ดาวอังคารมาก สันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกดาวอังคารดูดจับไว้
โฟบอส มีขนาดประมาณ 20 X 28 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 กิโลเมตร โคจรรอบ ดาวอังคารรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นโฟบอสขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกถึงวันละ
3 รอบ โฟบอสอยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 9,300 กิโลเมตร
ไดมอส เป็นดวงจันทร์ดวงเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 กิโลเมตร อยู่ห่างจาก
ศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 23,400 กิโลเมตร โคจรรอบดาวอังคารรอบละ 30 ชั่วโมง
18 นาที สำหรับคนที่อยู่บน ดาวอังคารเห็นโฟบอสกับไดมอส เคลื่อนที่สวนทางกันในท้องฟ้า
Phobos (โฟบอส)
โฟบอสเป็นบริวารดวงใหญ่สุดของดาวอังคาร โคจรอยู่วงในสุด ห่างจากจุดศูนย์กลางของดาวอังคาร 9,378 กิโลเมตร หรือ เพียง 6,000 กิโลเมตรจากผิวดาวอังคาร นับเป็นบริวารที่มีวงโคจรใกล้ดาวแม่มากที่สุด ในระบบสุริยะ มีมวล 10.80 ล้านล้านตัน ขนาดโดยเฉลี่ย 22.20 กิโลเมตร (27 x 21.6 x 18.8 กิโลเมตร)
นิยายกรีกเล่าว่า โฟบอสเป็นลูกชายของ เอรี่ (เทพมาร์ส) กับ อโพลไดท์ (เทพวีนัส) และเป็นที่ยำเกรงของ ชาวกรีก
โฟบอสถูกค้นพบเมื่อปีค.ศ. 1877 หรือ ปีพ.ศ. 2420 โดยนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาชื่อ Asaph Hall แล้วต่อจากนั้นก็ถูกถ่ายภาพโดยยาน มาริเนอร์ 9ของสหรัฐ ในปีค.ศ.1971 และจากยานไวกิ้ง 1ของสหรัฐ กับยานโฟบอสของรัสเซีย ในปีค.ศ. 1977 และ ปี ค.ศ.1988 ตามลำดับ
วงโคจรของโฟบอสอยู่ใกล้ผิวดาวอังคารมาก ทำให้มันขึ้นจากทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเร็วมาก โดยปกติวันละ 2 ครั้ง หรือมีคาบการโคจร 1 รอบกินเวลา 7 ชั่วโมง 39 นาที และเนื่องจากโฟบอสอยู่ ใกล้ผิวดาวอังคารมาก ต่ำกว่าค่าสมดุลของวงโคจร ทำให้วงโคจรของโฟบอสจะลดต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากแรงดึงดูดของดาวอังคาร โดยเฉลี่ยศตวรรษละ 1.80 เมตร นั่นหมายความว่า อีก 50 ล้านปีข้างหน้า โฟบอสจะกระแทกผิวดาวอังคาร
ส่วนประกอบของโฟบอส ส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนและหินแข็ง เหมือนกับดาวเคราะห์น้อย Type C แต่โฟบอสมีความหนาแน่นกว่า ภาพถ่ายจากยาน Mars Global Surveyor แสดงให้เห็นว่า ผิวของโฟบอสปกคลุมด้วยชั้นบางๆของฝุ่น หนาประมาณ 1 เมตร และยานโฟบอส2 ของโซเวียตก็ตรวจพบ ชั้นบางๆของก๊าซ แต่ก็โชคร้ายขาดการติดต่อไปก่อนที่จะวัดส่วนประกอบมาได้
โฟบอสมีหลุมขนาดใหญ่ ชื่อว่า Stickney ได้ชื่อมาจากสาวใช้ของภรรยาของเฮลล์ ลักษณะคล้ายหลุมเฮอร์เชล ของมิมัส ดาวบริวารของดาวเสาร์ และการเกิดหลุม Stickney นี้เช่นกันที่การชนกันเกือบทำให้โฟบอส แหลกเป็นผงไปแล้ว
รัสเซียพร้อมสำรวจบริวารดาวอังคาร
เป็นเวลากว่าทศวรรษครึ่งมาแล้วที่รัสเซียห่างเหินไปจากวงการสำรวจอวกาศเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ แต่รัสเซียกำลังจะกลับมาสู่วงการอีกครั้งด้วยภารกิจใหม่ในการสำรวจบริวารของดาวอังคาร
ในที่ประชุมสภาการบินอวกาศนานาชาติที่โคลัมเบียเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตัวแทนจากรัสเซียได้แจ้งว่ารัสเซียกำลังจะเริ่มโครงการใหม่ส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดวงจันทร์โฟบอสของดาวอังคาร ยานสำรวจในภารกิจนี้มีชื่อว่า โฟบอส-กรุนต์ (Fobos-Grunt) (คำว่า Grunt ภาษารัสเซียแปลว่า เศษซาก) โครงการนี้มีการพิจารณามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนตุลาคมปี 2547 ที่ผ่านมานี้เอง
ยานโฟบอส-กรุนต์มีน้ำหนักราว 50 กิโลกรัม อุปกรณ์สำรวจบนยานอาจมีบางชิ้นที่เป็นของอเมริกัน และอาจมีดาวเทียมจิ๋วของญี่ปุ่นติดไปด้วย ยานสำรวจลำนี้ไม่เพียงแค่ลงจอดลงบนดวงจันทร์โฟบอสเท่านั้น แต่ยังมีการเก็บตัวอย่างก้อนดินประมาณ 200-300 กรัมใส่ยานและนำกลับมายังโลกอีกด้วย ยานจึงมีสองส่วนคือส่วนฐานลงจอดและยานกลับโลก
ตามแผนที่วางไว้ ยานจะออกเดินทางราวปี 2552 ใช้เวลาเดินทางจากโลกถึงดาวอังคารราว 350 วัน หลังจากนั้นจะสำรวจไปรอบ ๆ ดวงจันทร์โฟบอสเพื่อเลือกทำเลลงจอด เมื่อยานลงจอดแล้วจะเก็บตัวอย่างก้อนดินแล้วยานกลับโลกก็จะแยกตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อนำกลับมายังโลกทันที ยานกลับโลกจะรออยู่ในวงโคจรอยู่ราวปีเศษจนกระทั่งได้จังหวะที่โลกเข้ามาใกล้ดาวอังคารจึงเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้ามาสู่โลก
ส่วนฐานจะยังคงจอดอยู่บนโฟบอสทำหน้าที่เป็นสถานีเฝ้าสังเกตการณ์สภาพลมฟ้าอากาศของดาวอังคารรวมทั้งอวกาศรอบ ๆ ดาวอังคารต่อไป
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 สหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจในด้านการสำรวจอวกาศ หลายภารกิจในการเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์ของโซเวียตประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่สำหรับภารกิจเก็บตัวอย่างในครั้งนี้ต่างจากภารกิจอื่นที่รัสเซียเคยทำ ดวงจันทร์โฟบอสอยู่ไกลกว่าดวงจันทร์มาก ระยะเวลาของภารกิจจึงยาวนานกว่ามาก ในอดีต ยานสำรวจของรัสเซียมักมีปัญหากับภารกิจนาน ๆ อย่างนี้ อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังดาวเทียมของรัสเซียหลายดวงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความทนทานของดาวเทียมได้พัฒนาไปมากแล้ว
รัสเซียเคยส่งยานไปสำรวจโฟบอสสองลำในปี 2531 แต่ล้มเหลวทั้งสองลำ ลำหนึ่งสูญหายระหว่างทางเนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด อีกลำหนึ่งเสียการควบคุมไปในช่วงที่ยานเข้าใกล้โฟบอส ยานสำรวจดาวเคราะห์ลำล่าสุดของรัสเซียคือยาน มาร์ส 8 หรือ มาร์ส 96 ออกเดินทางในปี 2539 แต่ยานได้ตกลงสู่โลกหลังจากปล่อยขึ้นจากฐานไปไม่นาน
โครงสร้างดาวอังคาร
ดาวอังคารมีขนาดเล็กกว่าโลกราวครึ่งหนึ่ง มีความหนาแน่นน้อยกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่มีพื้นผิว เป็นดินหินแข็งอย่างโลก แสดงว่าแกนในคงมีเหล็กน้อยกว่า ห่อหุ้มด้วยชั้นหินและ มีผิวเปลือกบาง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาต มีหุบเหว ร่องทางยาวและที่ราบ เป็นหย่อม ๆ มีภูเขาไฟ หลายแห่งโดดเด่นมาก เช่น ภูเขาไฟโอลิมปัส สูงที่สุดในระบบสุริยะ ความสูง 24 กิโลเมตร ฐานรอบ ภูเขาไฟกว้าง 600 กิโลเมตรและสูงเป็น 3 เท่าของยอดเขา เอเวอร์เรสบนโลก
ส่วนทางซีกใต้มีหลุมอุกกาบาตใหญ่มาก ชื่อ เฮลลาส (Hellas) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2000 กิโลเมตร ลึก 6 กิโลเมตร ลักษณะเด่นมากบนพื้นผิวดาวอังคารคือ หุบเหวมาริเนอร์ (Mariner) ลึกราว 2-7 กิโลเมตร กว้างราว 4,000 กิโลเมตร เป็นหุบเหวเหยียดยาวผ่ากลางดวงบริเวณ แถบเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ราบลักษณะคล้ายเกิดจากน้ำท่วม บางแห่งมีลักษณะคล้ายซากของชายฝั่งและท้องน้ำ พบซากของร่องทางน้ำไหลมากมายบนดาวอังคาร ทำให้สันนิษฐานว่าดาวอังคารคงเคยมีน้ำมาก่อน ในอดีตกาล
ภูเขาไฟนิกซ์ โอลิมปิกา ใหญ่สุดในระบบสุริยะ
ดวงจันทร์โฟบอส
ดวงจันทร์ไดมอส
บรรยากาศ
บรรยากาศของดาวอังคารต่างจากบรรยากาศของโลก เพราะส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถึง 95 % มีไนโตรเจน อาร์กอน และออกซิเจน เล็กน้อย มีน้ำอยู่ราว 1 ใน 1000 ของบรรยากาศ
โลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดเมฆในบรรยากาศของดาวอังคาร
สภาวะอากาศบนดาวอังคารแปรเปลี่ยนไปตลอดปี ที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคารมีน้ำแข็งตลอดเวลา ส่วนในฤดูหนาว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จับตัวแข็งขยายพื้นที่กว้างมากขึ้นที่ขั้วทั้งสอง ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์แห่งพายุฝุ่น อุณหภูมิและกระแสลมที่แปรเปลี่ยนไปทำให้มักเกิดพายุฝุ่น คละคลุ้งทั่วดวงดาวอังคารตลอดปี
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ
ยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512
ภาพดาวอังคาร
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก ดาวอังคารมีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแกนกลางที่เป็นของแข็ง มีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินเหลวหนืด หนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลก
เราสังเกตเห็นดาวอังคารเป็นสีแดง เพราะมีพื้นผิวที่ประกอบไปด้วยออกไซด์ของเหล็กหรือสนิมเหล็กนั่นเอง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหุบเหวต่างๆ มากมาย มีหุบเหวขนาดใหญ่ชื่อ หุบเหวมาริเนอริส มีความยาวถึง 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร และลึก 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ดาวอังคารยังมีภูเขาไฟที่สูงที่สุดในระบบสุริยะชื่อ ภูเขาไฟโอลิมปัส ที่มีความสูงถึง 25 กิโลเมตร และมีฐานที่แผ่ออกไปเป็นรัศมี 300 กิโลเมตร
ดาวอังคารมีบรรยากาศที่เบาบางมากประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ ก๊าซเหล่านี้เกิดจากการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง(คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวดาวอังคาร โดยเฉพาะที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ของดาวมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้แต่งนิยายวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเริ่มมีการสังเกตดาวอังคารผ่านกล้องโทรทรรศน์และพบรูปร่างพื้นผิวที่คล้ายกับคลองส่งน้ำของมนุษย์ดาวอังคาร(ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงบนดาวอังคาร) แต่หลังจากที่องค์การนาซาได้ส่งยานไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราทราบว่าลักษณะดังเกล่าวเป็นเพียงร่องรอยที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพื้นผิวดาวอังคารโดยยานไวกิงออร์บิเตอร์ 1 ในปีพ.ศ. 2519 และจากยานมาร์สโกลบอลเซอร์เวเยอร์ พบร่องน้ำเก่าหรือร่องรอยของท้องแม่น้ำที่เหือดแห้งไปหมดแล้ว นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าเคยมีสิ่งมีชิวิตอยู่บนดาวอังคารมาก่อน ก็น่าจะพบซากหรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นใต้ท้องน้ำหรือภายใต้น้ำแข็งที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคาร การพิสูจน์หาความจริงดังกล่าวเป็นภารกิจของโครงการสำรวจดาวอังคาร มาร์สโรเวอร์และมาร์สเอ็กเพรส ที่ถูกส่งขึ้นไปเมื่อกลางปี พ.ศ. 2546 นี้
ดาวอังคารมีบริวารขนาดเล็ก 2 ดวง มีชื่อว่า โฟบัส และดีมอส ดวงจันทร์ทั้งสองดวงมีรูปร่างไม่สมมาตรและมีขนาดเล็กกว่า 25 กิโลเมตร นักดาราศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า อาจเป็นวัตถุในแถบดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคาร ดึงดูดให้โคจรรอบ
วงโคจรของ ดาวอังคาร
ลักษณะเฉพาะของวงโคจรจุดเริ่มยุค J2000ระยะจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด: 249,228,730 กม.
1.665 991 16 หน่วยดาราศาสตร์ระยะจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: 206,644,545 กม.
1.381 333 46 หน่วยดาราศาสตร์กึ่งแกนเอก: 227,936,637 กม.1.523 662 31 หน่วยดาราศาสตร์
เส้นรอบวงของวงโคจร: 1.429 เทระเมตร9.553 หน่วยดาราศาสตร์ความเยื้องศูนย์กลาง: 0.09341233
คาบดาราคติ: 686.9601 วัน(1.8808 ปีจูเลียน) คาบซินอดิก: 779.96 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ยในวงโคจร: 24.077 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุดในวงโคจร: 26.499 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุดในวงโคจร: 21.972 กม./วินาที
ความเอียง: 1.85061°(5.65°; กับศูนย์สูตรดวงอาทิตย์)
ลองจิจูดของจุดโหนดขึ้น: 49.57854°
ระยะมุมจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: 286.46230°
ข้อมูลดาวอังคาร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 6,794 กิโลเมตร
มวล (โลก = 1) 0.107 เท่าของโลก
ความหนาแน่นเฉลี่ย 3,930 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 687 วัน
คาบการหมุนรอบตัวเอง 24 ชั่วโมง 37 นาที
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย 230 ล้านกิโลเมตร
บรรยากาศของ ดาวอังคาร
ลักษณะเฉพาะของบรรยากาศ
ความดันบรรยากาศ
ที่พื้นผิว: 0.7-0.9 กิโลปาสกาล
องค์ประกอบ
คาร์บอนไดออกไซด์ 95.32%
ไนโตรเจน 2.7%
อาร์กอน 1.6%
ออกซิเจน 0.13%
คาร์บอนมอนอกไซด์ 0.07%
ไอน้ำ 0.03%
ไนตริกออกไซด์ 0.01%
ppm นีออน 2.5
ppb คริปตอน 300
ppb ซีนอน 80
ppb โอโซน 30
ppb มีเทน 10.5
บริวารดาวอังคาร
ดาวอังคารมีบริวาร 2 ดวง ชื่อ โฟบอส (Phobos) กับ ไดมอส (Deimos) พบเป็นครั้งแรกโดย
เอแสฟ ฮอล (Asaph Hall) ในปี พ.ศ.2420 เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็ก พื้นผิวมืดคล้ำ รูปร่างคล้าย มันฝรั่ง อยู่ใกล้ ดาวอังคารมาก สันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกดาวอังคารดูดจับไว้
โฟบอส มีขนาดประมาณ 20 X 28 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 กิโลเมตร โคจรรอบ ดาวอังคารรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นโฟบอสขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกถึงวันละ
3 รอบ โฟบอสอยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 9,300 กิโลเมตร
ไดมอส เป็นดวงจันทร์ดวงเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 กิโลเมตร อยู่ห่างจาก
ศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 23,400 กิโลเมตร โคจรรอบดาวอังคารรอบละ 30 ชั่วโมง
18 นาที สำหรับคนที่อยู่บน ดาวอังคารเห็นโฟบอสกับไดมอส เคลื่อนที่สวนทางกันในท้องฟ้า
Phobos (โฟบอส)
โฟบอสเป็นบริวารดวงใหญ่สุดของดาวอังคาร โคจรอยู่วงในสุด ห่างจากจุดศูนย์กลางของดาวอังคาร 9,378 กิโลเมตร หรือ เพียง 6,000 กิโลเมตรจากผิวดาวอังคาร นับเป็นบริวารที่มีวงโคจรใกล้ดาวแม่มากที่สุด ในระบบสุริยะ มีมวล 10.80 ล้านล้านตัน ขนาดโดยเฉลี่ย 22.20 กิโลเมตร (27 x 21.6 x 18.8 กิโลเมตร)
นิยายกรีกเล่าว่า โฟบอสเป็นลูกชายของ เอรี่ (เทพมาร์ส) กับ อโพลไดท์ (เทพวีนัส) และเป็นที่ยำเกรงของ ชาวกรีก
โฟบอสถูกค้นพบเมื่อปีค.ศ. 1877 หรือ ปีพ.ศ. 2420 โดยนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาชื่อ Asaph Hall แล้วต่อจากนั้นก็ถูกถ่ายภาพโดยยาน มาริเนอร์ 9ของสหรัฐ ในปีค.ศ.1971 และจากยานไวกิ้ง 1ของสหรัฐ กับยานโฟบอสของรัสเซีย ในปีค.ศ. 1977 และ ปี ค.ศ.1988 ตามลำดับ
วงโคจรของโฟบอสอยู่ใกล้ผิวดาวอังคารมาก ทำให้มันขึ้นจากทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเร็วมาก โดยปกติวันละ 2 ครั้ง หรือมีคาบการโคจร 1 รอบกินเวลา 7 ชั่วโมง 39 นาที และเนื่องจากโฟบอสอยู่ ใกล้ผิวดาวอังคารมาก ต่ำกว่าค่าสมดุลของวงโคจร ทำให้วงโคจรของโฟบอสจะลดต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากแรงดึงดูดของดาวอังคาร โดยเฉลี่ยศตวรรษละ 1.80 เมตร นั่นหมายความว่า อีก 50 ล้านปีข้างหน้า โฟบอสจะกระแทกผิวดาวอังคาร
ส่วนประกอบของโฟบอส ส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนและหินแข็ง เหมือนกับดาวเคราะห์น้อย Type C แต่โฟบอสมีความหนาแน่นกว่า ภาพถ่ายจากยาน Mars Global Surveyor แสดงให้เห็นว่า ผิวของโฟบอสปกคลุมด้วยชั้นบางๆของฝุ่น หนาประมาณ 1 เมตร และยานโฟบอส2 ของโซเวียตก็ตรวจพบ ชั้นบางๆของก๊าซ แต่ก็โชคร้ายขาดการติดต่อไปก่อนที่จะวัดส่วนประกอบมาได้
โฟบอสมีหลุมขนาดใหญ่ ชื่อว่า Stickney ได้ชื่อมาจากสาวใช้ของภรรยาของเฮลล์ ลักษณะคล้ายหลุมเฮอร์เชล ของมิมัส ดาวบริวารของดาวเสาร์ และการเกิดหลุม Stickney นี้เช่นกันที่การชนกันเกือบทำให้โฟบอส แหลกเป็นผงไปแล้ว
รัสเซียพร้อมสำรวจบริวารดาวอังคาร
เป็นเวลากว่าทศวรรษครึ่งมาแล้วที่รัสเซียห่างเหินไปจากวงการสำรวจอวกาศเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ แต่รัสเซียกำลังจะกลับมาสู่วงการอีกครั้งด้วยภารกิจใหม่ในการสำรวจบริวารของดาวอังคาร
ในที่ประชุมสภาการบินอวกาศนานาชาติที่โคลัมเบียเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตัวแทนจากรัสเซียได้แจ้งว่ารัสเซียกำลังจะเริ่มโครงการใหม่ส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดวงจันทร์โฟบอสของดาวอังคาร ยานสำรวจในภารกิจนี้มีชื่อว่า โฟบอส-กรุนต์ (Fobos-Grunt) (คำว่า Grunt ภาษารัสเซียแปลว่า เศษซาก) โครงการนี้มีการพิจารณามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนตุลาคมปี 2547 ที่ผ่านมานี้เอง
ยานโฟบอส-กรุนต์มีน้ำหนักราว 50 กิโลกรัม อุปกรณ์สำรวจบนยานอาจมีบางชิ้นที่เป็นของอเมริกัน และอาจมีดาวเทียมจิ๋วของญี่ปุ่นติดไปด้วย ยานสำรวจลำนี้ไม่เพียงแค่ลงจอดลงบนดวงจันทร์โฟบอสเท่านั้น แต่ยังมีการเก็บตัวอย่างก้อนดินประมาณ 200-300 กรัมใส่ยานและนำกลับมายังโลกอีกด้วย ยานจึงมีสองส่วนคือส่วนฐานลงจอดและยานกลับโลก
ตามแผนที่วางไว้ ยานจะออกเดินทางราวปี 2552 ใช้เวลาเดินทางจากโลกถึงดาวอังคารราว 350 วัน หลังจากนั้นจะสำรวจไปรอบ ๆ ดวงจันทร์โฟบอสเพื่อเลือกทำเลลงจอด เมื่อยานลงจอดแล้วจะเก็บตัวอย่างก้อนดินแล้วยานกลับโลกก็จะแยกตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อนำกลับมายังโลกทันที ยานกลับโลกจะรออยู่ในวงโคจรอยู่ราวปีเศษจนกระทั่งได้จังหวะที่โลกเข้ามาใกล้ดาวอังคารจึงเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้ามาสู่โลก
ส่วนฐานจะยังคงจอดอยู่บนโฟบอสทำหน้าที่เป็นสถานีเฝ้าสังเกตการณ์สภาพลมฟ้าอากาศของดาวอังคารรวมทั้งอวกาศรอบ ๆ ดาวอังคารต่อไป
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 สหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจในด้านการสำรวจอวกาศ หลายภารกิจในการเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์ของโซเวียตประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่สำหรับภารกิจเก็บตัวอย่างในครั้งนี้ต่างจากภารกิจอื่นที่รัสเซียเคยทำ ดวงจันทร์โฟบอสอยู่ไกลกว่าดวงจันทร์มาก ระยะเวลาของภารกิจจึงยาวนานกว่ามาก ในอดีต ยานสำรวจของรัสเซียมักมีปัญหากับภารกิจนาน ๆ อย่างนี้ อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังดาวเทียมของรัสเซียหลายดวงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความทนทานของดาวเทียมได้พัฒนาไปมากแล้ว
รัสเซียเคยส่งยานไปสำรวจโฟบอสสองลำในปี 2531 แต่ล้มเหลวทั้งสองลำ ลำหนึ่งสูญหายระหว่างทางเนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด อีกลำหนึ่งเสียการควบคุมไปในช่วงที่ยานเข้าใกล้โฟบอส ยานสำรวจดาวเคราะห์ลำล่าสุดของรัสเซียคือยาน มาร์ส 8 หรือ มาร์ส 96 ออกเดินทางในปี 2539 แต่ยานได้ตกลงสู่โลกหลังจากปล่อยขึ้นจากฐานไปไม่นาน
โครงสร้างดาวอังคาร
ดาวอังคารมีขนาดเล็กกว่าโลกราวครึ่งหนึ่ง มีความหนาแน่นน้อยกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่มีพื้นผิว เป็นดินหินแข็งอย่างโลก แสดงว่าแกนในคงมีเหล็กน้อยกว่า ห่อหุ้มด้วยชั้นหินและ มีผิวเปลือกบาง พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาต มีหุบเหว ร่องทางยาวและที่ราบ เป็นหย่อม ๆ มีภูเขาไฟ หลายแห่งโดดเด่นมาก เช่น ภูเขาไฟโอลิมปัส สูงที่สุดในระบบสุริยะ ความสูง 24 กิโลเมตร ฐานรอบ ภูเขาไฟกว้าง 600 กิโลเมตรและสูงเป็น 3 เท่าของยอดเขา เอเวอร์เรสบนโลก
ส่วนทางซีกใต้มีหลุมอุกกาบาตใหญ่มาก ชื่อ เฮลลาส (Hellas) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2000 กิโลเมตร ลึก 6 กิโลเมตร ลักษณะเด่นมากบนพื้นผิวดาวอังคารคือ หุบเหวมาริเนอร์ (Mariner) ลึกราว 2-7 กิโลเมตร กว้างราว 4,000 กิโลเมตร เป็นหุบเหวเหยียดยาวผ่ากลางดวงบริเวณ แถบเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ราบลักษณะคล้ายเกิดจากน้ำท่วม บางแห่งมีลักษณะคล้ายซากของชายฝั่งและท้องน้ำ พบซากของร่องทางน้ำไหลมากมายบนดาวอังคาร ทำให้สันนิษฐานว่าดาวอังคารคงเคยมีน้ำมาก่อน ในอดีตกาล
ภูเขาไฟนิกซ์ โอลิมปิกา ใหญ่สุดในระบบสุริยะ
ดวงจันทร์โฟบอส
ดวงจันทร์ไดมอส
บรรยากาศ
บรรยากาศของดาวอังคารต่างจากบรรยากาศของโลก เพราะส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถึง 95 % มีไนโตรเจน อาร์กอน และออกซิเจน เล็กน้อย มีน้ำอยู่ราว 1 ใน 1000 ของบรรยากาศ
โลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดเมฆในบรรยากาศของดาวอังคาร
สภาวะอากาศบนดาวอังคารแปรเปลี่ยนไปตลอดปี ที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคารมีน้ำแข็งตลอดเวลา ส่วนในฤดูหนาว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จับตัวแข็งขยายพื้นที่กว้างมากขึ้นที่ขั้วทั้งสอง ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์แห่งพายุฝุ่น อุณหภูมิและกระแสลมที่แปรเปลี่ยนไปทำให้มักเกิดพายุฝุ่น คละคลุ้งทั่วดวงดาวอังคารตลอดปี
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ
ยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)